9
Dec
2018
บริษัท VISA จะใช้ลายนิ้วมือแทนรหัสและลายเซ็นแบบเก่า หากแต่หลายคน ยังคงกังวลเรื่องความปลอดภัย ณ ปัจจุบัน เราต่างใช้ลายพิมพ์นิ้วมือเปิดล็อคประตู, โทรศัพท์มือถือ รวมทั้งอุปกรณ์อื่นๆ ได้แล้ว แต่ผู้บริโภคยังกล้าๆ กลัวๆ ในการใช้ลายพิมพ์นิ้วมือเพื่อจ่ายเงิน
ทางด้านบริษัท VISA มองว่าลูกค้าพร้อมแล้วที่จะใช้ประโยชน์จาก Biometrics โดยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะทางกายภาพเพื่อแสดงตัวตน หากแต่ผู้ใช้งานก็ยังมีข้อสงสัยว่า เทคโนโลยีนี้มีความปลอดภัยมากแค่ไหน
โดย VISA เริ่มต้นทดสอบการใช้งานบัตรต่างๆ ซึ่งมีตัวอ่านลายนิ้วมือฝังอยู่ภายใน เพียงแค่ผู้ใช้เพียงกดนิ้วมือลงบนเครื่องเท่านั้น การใช้ลายนิ้วมือนี้ จะช่วยให้ลูกค้าข้ามขั้นตอน รหัสล็อก หรือ PIN รวมทั้งไม่ต้องเขียนลายเซ็นให้ยุ่งยาก
ลายนิ้วมือของผู้ใช้จะถูกนำมาเปรียบเทียมกับลายนิ้วมือที่เข้าระบบเอาไว้ โดยสีเเดงกับสีเขียวบนตัวบัตรจะช่วยระบุว่าลายนิ้วมือของผู้ใช้ตรงกับลายนิ้วมือในบัตรหรือไม่ สำหรับคนที่ใช้บัตรเครดิตร่วมกับคนอื่น ก็จะใช้ระบุรหัสล็อก หรือเขียนลายเซ็นแทน
ซึ่งเมื่อปี 2017 บริษัท MasterCard ได้เริ่มต้นทดสอบบัตรแบบใช้ลายนิ้วมือในการจ่ายค่าสินค้าเเละบริการ ในแอฟริกาใต้
VISA ได้ทำการสำรวจจากชาวอเมริกัน 1,000 คน พบว่ามีผู้คนจำนวนถึง 86 % สนใจใช้ Biometrics ในการสั่งจ่ายเงินหรือรูดบัตรเครดิต แน่นอนว่ามันสะดวกสบาย แต่คำถามคือระบบนี้มั่นคงปลอดภัยแค่ไหน
Anil Jain ศาสตราจารย์เเละนักวิจัย Biometrics แห่ง Michigan State University และนักศึกษาของเขา พยายามพัฒนาลายนิ้วมือปลอมขึ้นมา ผลคือมันใช้งานได้สำเร็จหลายครั้ง เมื่อนำมาทดลองกับการปลดล็อคที่พึ่งข้อมูล Biometrics เป็นกุญแจ โดยศาสตราจารย์ Anil Jain เชื่อว่า เป็นเรื่องยากในการขโมยข้อมูลชีวมาตรจากโทรศัพท์หรือชิพของ VISA เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ Biometrics ที่จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลกลาง
เขากล่าวเสริมอีกว่า ไม่มีระบบความปลอดภัยไหนก็ตามที่สามารถป้องกันการขโมยข้อมูลได้ หากแต่แนวคิดนี้ทำให้การแอบอ้างตัวเองเพื่อใช้บัตรเครดิตของผู้อื่นทำได้ยากขึ้น ถ้าหากเป็นการสั่งจ่ายเงินจำนวนมาก เช่น การซื้อสินค้ามูลค่า 100,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ทางร้านอาจขอให้คุณแสดงหลักฐานอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ระบบจดจำใบหน้าเพิ่มเข้ามานอกเหนือจากระบบจดจำลายพิมพ์นิ้วมือ
อีกทั้ง ศาสตราจารย์ Anil Jain ยังกล่าวอีกว่า การใช้ Biometrics จะกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้งานกันมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะราคาอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เเละซอฟแวร์ถูกลง ก็จะทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้งาน Biometrics เพิ่มขึ้น
สุดท้ายแล้ว ศาสตราจารย์ Jain แนะนำเพิ่มเติมว่า ผู้บริโภคควรใช้ข้อมูล Biometrics ของตนเองอย่างระมัดระวัง โดยพูดทิ้งท้ายเพื่อเป็นการย้ำเตือนว่า ไม่ควรโพสต์ลายนิ้วมือของตนเองบนสังคมออนไลน์อย่างเด็ดขาด
1
Dec
2018
ในปัจจุบันนี้เราทุกคน กำลังอยู่ในยุคที่ศาสตร์แห่งปัญญาประดิษฐ์ กำลังเฟื่องฟู ไม่ว่าจะเป็น Google, Apple, Microsoft, Facebook รวมทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่อีกหลายแห่ง ต่างก็หันมาทุ่มเทให้กับการสร้างสรรค์ AI ให้มีความฉลาดยิ่งขึ้นและสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ จนกระทั่งเราเห็นความสามารถอันน่าทึ่งของ AI อยู่บ่อยครั้ง โดยสิ่งที่เราไม่คิดว่า AI จะทำได้ แต่มันกลับทำได้ เช่น แยกแยะใบหน้าของมนุษย์อย่างแม่นยำ, วิเคราะห์วัตถุ พร้อมระบุตัวตนในภาพถ่าย, เขียนบทความเอง รวมถึงการศึกษาหมากล้อมด้วยตัวเอง จนสามารถเอาชนะแชมป์โลกที่เป็นมนุษย์ได้ แน่นอนว่าในอนาคตมันก็ยังคงพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่คุณเคยสงสัยไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสักวันหนึ่ง AI ได้พัฒนาก้าวไกลไปจนถึงจุดที่เหนือกว่ามนุษย์ทุกๆ ด้าน ?
Technological Singularity คือการสมมติภาพในอนาคตที่เทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจน AI มีศักยภาพเหนือกว่ามนุษย์ทุกอย่าง จนกลายเป็น Intelligence Explosion หรือ ‘การระเบิดทางสติปัญญา’ ขึ้น จนมนุษย์ไม่อาจควบคุมมันได้อีกต่อไป
แนวคิดเรื่อง Technological Singularity ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เนื่องจากในหลายทศวรรษที่ผ่านมา เราต่างเห็นนิยายและภาพยนตร์หลายเรื่อง ที่หยิบแนวคิดนี้มาใช้ โดยในแต่ละเรื่องก็มีการตีความแตกต่างกันไป แต่ทุกเรื่องต่างแสดงให้เห็นว่ามนุษย์กลัวเรื่องนี้มานานแล้ว
เมื่อ ‘สมองกล’ ก้าวหน้ากว่ามนุษย์
ถึงแม้ว่า AI จะสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่มันเป็นไปได้หรือไม่ว่า มันจะประเทืองปัญญาจนถึงขั้นมี ‘สำนึกรู้’ ถึงตัวตนขึ้นมา แล้วหันมาต่อกรกับมนุษย์ ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง พอจะเป็นไปได้ว่า มันจะฉลาดจนมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและอยู่กับมนุษย์ด้วยความเข้าใจ
แต่จากที่เห็นในปัจจุบัน AI จะมีสำนึกขึ้นมาค่อนข้างยาก จริงอยู่ว่า AI ขับเคลื่อนด้วยหน่วยประมวลผลทรงพลังและฉลาดล้ำ หากแต่มันก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป้าหมายเฉพาะอย่างเท่านั้น นั่นก็คือรู้ลึกในเรื่องนั้นๆ แต่ไม่ได้รู้กว้าง ทำให้ไม่อาจเข้าใจเรื่องนามธรรมอย่างอารมณ์ความรู้สึกได้
แต่ทั้งนี้ด้วยขีดความสามารถอันล้ำหน้าของ AI ในอนาคต มันอาจพัฒนาตัวเองให้มีสำนึกได้ แต่ถึงกระนั้นสำนึกที่ว่าจะเป็นอย่างไร จะมอบคุณค่าให้กับสิ่งต่างๆ เหมือนมนุษย์หรือไม่ หรืออาจเป็นสำนึกอันไม่คาดฝันจนอยู่นอกเหนือจินตนาการไปเลยก็ได้
แต่ถ้า AI ไม่มีสำนึกรู้ มันจะไม่รู้จักอารมณ์ความรู้สึก มันจึงไม่น่าลุกขึ้นมาต่อต้านมนุษย์ได้ มันก็อาจจะดำรงอยู่ต่อไปโดยไม่สนใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะปลอดภัย เนื่องจากการเกิดมาเพื่อทำตามเป้าหมายบางอย่าง ก็อาจส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ได้เช่นกัน
6
Dec
2016
เราคือผู้ผลิตและการจ่ายกระแสไฟฟ้าในระบบอัตโนมัติโดยใช้ข้อมูลระบบดิจิตอล และเป็นการเติบโตของ ซีเมนส์ ทั้งในเรื่องของธุรกิจ การบริหารจัดการการแยกส่วนเพื่อที่จะให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

ประวัติ Siemens Thailand
บริษัท Siemens ปัจจุบันเป็นบริษัทขนาดใหญ่ของยุโรป ที่มีเครือไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย จุดเริ่มต้นของ Siemens เกิดขึ้นจากห้องทดลองเล็กๆ ในกรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จนทุกวันนี้กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก บริษัท Siemens ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2538 เพื่อเข้ารับตำแหน่งเป็นผู้ประกอบการอย่างเป็นทางการในลิขสิทธิ์ของซีเมนส์ เพื่อนำเสนอสินค้าโซลูชั่นของบริษัท และบริการในทุกกลุ่มธุรกิจหลักของซีเมนส์ โดยจุดประสงค์หลักๆ ของการก่อตั้งนอกจากการนำเสนอสินค้าต่างๆ แล้ว ยังมีส่วนช่วยในการสร้างคุณค่าด้วยการปรับปรุงเทคโนโลยีต่างๆ ในประเทศของเราอีกด้วย ทำให้การทำงานต่างๆมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มผลผลิตมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีจนถึงช่วยให้ชีวิตของผู้คนมีคุณภาพที่ดีขึ้นด้วย
ก่อนที่บริษัท Siemens จะมาตั้งอย่างเป็นทางการในไทย ประเทศของเราก็ได้ใช้บริการของ Siemens มาก่อนแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 โดยครั้งนั้นบริษัท Siemens เป็นผู้รับเหมาจัดทำระบบอาณัติสัญญาณให้กับการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ.2525 ได้ส่งมอบงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมกับปางกะกงให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อมาในปี พ.ศ.2536 Siemens ได้ส่งมองสัญญากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีการจ้างงานก่อสร้างสถานีไฟฟ้าย่อยแรง ถึง 6 สถานีด้วยกัน จากนั้นในปี พ.ศ. 2538 Siemens ได้เซ็นสัญญารับเหมาโครงการรถไฟฟ้า BTS ปี 2543 แต่ปัจจุบันนี้ ข้อดีของการเป็นส่วนหนึ่งของ Siemens ในประเทศไทย จะช่วยให้เราสามารถที่จะได้ใช้เทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัยเทียบเท่ากับหลายๆ ประเทศทั่วโลก แถมทุกวันนี้เทคโนโลยีต่างๆ ที่ Siemens สร้างขึ้นมาจะเน้นไปที่การดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายลงด้วย โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็นประเทศที่มีโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ค่อนข้างเยอะ เป็นฐานผลิตสินค้าต่างๆ ของบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก ดังนั้นผลกระทบจากการที่มีโรงงานเยอะอาจจะทำให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก Siemens จึงมีบทบาทมากๆ ที่จะเข้ามาช่วยในการดูแลในส่วนนี้
นอกจากนี้บริษัท Siemens ในประเทศไทยยังเป็นผู้จัดหาโซลูชั่นระบบราง รวมไปถึงระบบโลจิสติกส์ ชั้นนำของโลกรายหนึ่งเลยก็ว่าได้ ประเทศไทยของเราเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ในเรื่องของระบบอุตสาหกรรมด้านระบบรางมาต่อเนื่องยาวนานกว่า 15 ปี จึงทำให้ Siemens สัญชาติเยอรมันที่เป็นบริษัทใหญ่นั้นพร้อมที่จะช่วยสนับสนุนในเรื่องของแผนการพัฒนารวมถึงแผนการขยายเครือข่ายระบบขนส่งมวลชนแบบราง ทั้งนี้มันทำให้ประเทศของเรามีศักยภาพเทียบเท่ากันสากล แถมยังเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอีกด้วย แต่จริงๆ แล้ว บริษัท Siemens ไม่ได้มีบทบาทในประเทศไทยแค่เพียงภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น Siemens ยังมีส่วนในภาคอื่นๆ อย่าด้านพลังงาน รวมไปจนถึงด้านการแพทย์อีกด้วย
Dec
2016
ถ้าคุณกำลังมองหางานที่มั่นคงและเป็นองค์กรนานาชาติระดับโลก ไม่ว่าจะมีประสบการณ์ในการทำงานหรือไม่ เรายินดีให้คุณได้งานดีๆ พร้อมกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เป็นความก้าวหน้าในชีวิตของคุณ


Dec
2016
PLC Siemens เกี่ยวข้องกับอะไร

PLC Siemens เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยบริษัท Siemens ซึ่งเป็นบริษัทใหญ่สัญชาติของยุโรป โดยบริษัทนี้ประกอบด้วยธุรกิจหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมพลังงานไฟฟ้า การขนส่ง การสื่อสาร การแพทย์ เป็นต้น ซึ่งบริษัทนี้มีเครือไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเราด้วย อย่างรถไฟฟ้า BTS รถไฟฟ้ามหานคร แอร์พอลร์ตเรลลิงค์ ก็ใช้ขบวนรถของบริษัท Siemens เช่นกัน

PLC ย่อมาจากคำว่า Programmable Logic Control มันคืออุปกรณ์ชนิดโซลิต-สเตท โดยทำงานแบบลอจิก โดยการออกแบบการทำงานของตัว PLC มันจะมีลักษณะคล้ายๆ กับที่เราใช้คอมพิวเตอร์ทำงาน อธิบายง่ายๆ ว่า PLC มันใช้สำหรับควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ หรือเครื่องจักรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม หรือจะใช้ร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ อย่าง เครื่องพิมพ์ เครื่องอ่านบาร์โค๊ด อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีการควบคุมแบบนี้เคยมีมาก่อนตัว PLC แล้ว นั่นก็คือระบบที่เรียกว่า รีเลย์ ซึ่งจะใช้ในการควบคุเครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ แต่ข้อเสียของระบบเก่าอย่างรีเลย์ก็คือ ระบบนี้ต้องเดินสายไฟ ดังนั้นเมื่อเราต้องการเปลี่ยนระบบ เราก็จำเป็นต้องเดินสายไฟใหม่หมด โดยกระบวนการนี้ทั้งเสียเวลา แถมยังมีค่าใช้จ่ายสูงด้วย จึงมีการคิดพัฒนาตัว PLC นี้ขึ้นมาแทนที่ เพราะเมื่อเราต้องการที่จะวางระบบหรือลำดับการทำงานแบบใหม่ เราก็แค่เปลี่ยนการควบคุมโปรแกรม ทำให้สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าแบบเก่ามาก นอกจากนี้แล้ว PLC ยังสามารถต่อเข้าด้วยกันหลายๆ ตัวได้ เพื่อที่จะสามารถควบคุมระบบการทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

จากที่เราทราบมาคร่าวๆแล้วว่าตัว PLC มันเป็นเหมือนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับในงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก ส่วนประกอบของมันประกอบไปด้วย หน่วยประมวลผล หน่วยความจำ หน่วยรับข้อมูล หน่อยส่งข้อมูล และหน่วยป้อนโปรแกรม ซึ่งขนาดของ PLC ถ้าเป็นขนาดเล็กทุกๆ ส่วนประกอบจะรวมอยู่ด้วยกัน แต่ถ้า PLC ขนาดใหญ่ แต่ละหน่วยสามารถที่จะเอามาประกอบกันหรือแยกส่วนได้

PLC สามารถที่จะแบ่งชนิดได้ 2 ชนิดด้วยกัน คือ ชนิดบล็อก ซึ่งเป็นพีแอลซีที่จะรวมประกอบทั้งหมดของอุปกรณ์อยู่ในบล็อกเดียวกันทั้งหมด และชนิดที่สองคือ ชนิดโมดูล หรือที่เราเรียกว่าแร็ค ซีแอลพีชนิดนี้ส่วนประกอบต่างๆ สามารถที่จะแยกออกจากกันเป็นโมดูลได้ ทำให้สามารถที่จะเลือกใช้งานได้หลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้อาจจะขึ้นอยู่กับรุ่นด้วย ในส่วนของการสั่งงานของอุปกรณ์ PLC นั้น ต้องจะเริ่มต้นที่การป้อนโปรแกรมลงไปก่อน โดยอุปกรณ์ที่เราใช้ในการป้อนโปรแกรมลงไปใน PLC สามารถแบ่งออกได้อีก 2 ชนิด คือแบบมือถือ และแบบคอมพิวเตอร์ส่วนตัว ในการเขียนโปรแกรมให้ PLC โดยใช้ตัวป้อนแบบมือถือนั้นภาษาที่ใช้จะเป็นภาษาที่เรียกว่า สเตทเมนต์ลิสต์ ส่วนแบบคอมพิวเตอร์คือการใช้งานร่วมกับซอฟแวร์เฉพาะของ PLC ยี่ห้อนั้นๆ โดยบทความนี้ตัวพีแอลซี เป็นของ Siemens เราก็จะใช้ซอฟแวร์ของยี่ห้อ Siemens นั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วมักจะนิยมใช้แบบคอมพิวเตอร์มากกว่าแบบมือถือ เพราะมีความสะดวกในการใช้งานมากกว่า
Dec
2016
ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคของ siemens ที่เป็นผู้บุกเบิกและก่อตั้งบริษัทขึ้นและมีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ในเรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีพร้อมกับการรักษาสภาพแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้นและส่งผลกระทบให้น้อยมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เราประสบความสำเร็จในการพัฒนาโซลูชั่น ในเรื่องของ พลังงาน การแพทย์ และทางอุตสาหกรรม
แนะนำนวัตกรรมใหม่

SGT-800 นวัตกรรมล่าสุดจากซีเมนส์
SGT-800 เป็นชื่อรุ่นกังหันก๊าซจากซีเมนส์ ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ใช้มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการประดิษฐ์ขึ้นมา เป็นนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีของการเผาไหม้แบบ DLE หรือ Dry Low Emissions ซึ่งมันมีความสอดคล้องกับโลกในยุคปัจจุบันมาก ที่หลายๆ หน่วยงานให้ความสนใจเกี่ยวกับการดูแลเรื่องของการลดก๊าซไนโตรเจน รวมไปถึงก๊าซอื่นๆ ที่อันตรายในอากาศ ซึ่งเจ้ากังหันก๊าซซีเมนส์ SGT-800 ก็สามารถที่จะตอบโจทย์ได้อย่างดี การเผาไหม้แบบ DLE จะช่วยลดการปล่อยก๊าซไนโตรเจนได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว นอกจากนี้การออกแบบต่างยังเหมาะกับการใช้งานด้วย ทั้งดูแลง่าย มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงความทนทานในการใช้งานค่อนข้างสูง ซึ่งผลงานชิ้นนี้ก็กลายเป็นที่สนใจ หมายตาของโรงงานอุตสาหกรรมหลายๆ แห่งในไทย ถือว่าเป็นเรื่องราวที่ดีมากที่มีการประดิษฐ์สิ่งนี้ขึ้นมาทดแทนการใช้พลังงานแบบเก่าๆ
สำหรับกังหันก๊าซซีเมนส์ SGT-800 เสนอความน่าเชื่อถือโดยการปรับตัวให้เข้าปัญหาของวิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน เพื่อความหลากหลายของอุตสาหกรรม เช่น ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระต่างๆ รวมไปจนถึงสาธารณูปโภคหรือจะเป็นเทศบาล บริษัทน้ำมัน และก๊าซ เช่นโรงกลั่นน้ำมัน เป็นต้น นักวิศวะกรรมที่ออกแบบกังหันนี้ ได้ใช้ระยะเวลาในการคิดค้นพอสมควร เพื่อจะให้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ และตรงความต้องการมากที่สุด โดยเครื่องยนต์แบบเพลาเดียว ที่มีการออกแบบที่แข็งแรง เรียบง่ายด้วยใบพัดแบบสองแบริ่ง มันถูกออกแบบมาให้แข็งแรง ง่ายต่อการรักษา หรือซ่อมแซม มีประสิทธิภาพในการปล่อยพลังงานที่ค่อนข้างสูง ภายในมีเครื่องอัดอากาศ 15 ชั้น โดยชั้นที่ 1 – 3 จะช่วยให้เครื่องใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนชั้นที่ 3-15 ใช้สำหรับการรองรับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงของเครื่องยนต์ที่มีการบีบอัดก๊าซหรืออากาศก็ตาม ซึ่งตอนนี้กังหันก๊าซซีเมนส์ SGT-800 สามารถพบได้ในหลายประเทศทั่วโลกแล้ว
กังหันก๊าซซีเมนส์ SGT-800 มีความสามารถในการผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างดี แถมยังมีประสิทธิภาพสูง ทดแทนการใช้พลังงานแบบเก่าๆ ซึ่งเป็นการใช้พลังงานแบบสิ้นเปลืองได้เป็นอย่างดี แถมกังหันผลิตไฟฟ้าตัวนี้ยังมีความยืดหยุ่นในการจ่ายน้ำมันได้ดี ที่ผ่านมาบริษัทซีเมนส์ได้ระบุว่าประเทศไทยเป็นตลาดรายใหญ่ในการจำหน่ายกังหันก๊าซซีเมนส์ SGT-800 เพราะว่าในปัจจุบันมียอดสั่งกว่า 70 ตัวแล้ว โดยในปี 2558 บริษัทซีเมนส์สามารถที่จะจำหน่ายกังหันก๊าซซีเมนส์ SGT-800ทั่วโลกได้ถึง 270 ตัวเลยทีเดียว กังหันก๊าซซีเมนส์ SGT-800 ถือเป็นนวัตกรรมตัวอย่างที่ดีที่จะช่วยกระตุ้นการดูแลรักษาโลกของเราให้ดียิ่งขึ้น ทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แถมยังได้พลังงานที่มีประสิทธิภาพ ประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับโรงงาน หรือผู้ประกอบการได้ค่อนข้างดี และก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ประเทศไทยของเรามีการตอบรับ แล้วสั่งกังหันก๊าซซีเมนส์ SGT-800 นี้มาใช้ในอุตสาหกรรมของบ้านเรา