ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีการพิมพ์แบบสามมิติจะมาแรงและเป็นนวัตกรรมที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกโดยเฉพาะในด้านอุตสหกรรมขนาดใหญ่ จนล่าสุดก็เพิ่งมีข่าวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่ถูกผลิตขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว โดยคิดต้นทุนและตกไม่ถึง 10,000 เหรียญสหรัฐ ผลิตขึ้นจากชิ้นส่วนหลัก 57 ชิ้น เทียบกันรถยนต์ทั่วไปที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนกว่าหลายพันชิ้นเลยทีเดียว จนในที่สุดได้มีข่าวคร่าวหลุดมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือว่ามีเม็ดเงินกว่า 37 ล้านเหรียญที่จะมาลงทุนสร้างโรงงานพิมพ์แบบสามมิติขนาดใหญ่ในประเทศอังกฤษ
จนล่าสุดบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่าง Siemens ได้เข้ามาซื้อบริษัทย่อยอย่าง Material Solutions ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในด้านการหล่อแบบและตัดชิ้นส่วนด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ จากวัสดุเหล็ก หรือซูเปอร์อัลลอยด์ หรือพูดเข้าใจง่ายๆ มันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ผลิตชิ้นส่วนสำหรับยานยนต์ อากาศยาน และเครื่องยนต์ทางการกีฬา การเปิดตัวของโรงงานใหม่จะช่วยเพิ่มฐานการรองรับลูกค้าเป็นจำนานมาก
Jurgen Maier ซีอีโอประจำประเทศอังกฤษ กล่าวว่าเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3D มีความจำเป็นอย่างมาก และจะต้องถูกนำมาใช้งานอย่างจริงจัง เพื่อใช้เป็นตัวขับเคลื่อนการผลิตในสหราชอาณาจักรให้ก้าวพัฒนายิ่งขึ้น การลงทุนครั้งสำคัญอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของเราว่ามีศักยภาพในด้านวิจัยและพัฒนา ทำให้ผู้คนหันมาลงทุนกับเราเพิ่มขึ้น และเราจะต้องสร้างผลงานให้ดีขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทน นอกจากนี้ยังเป็นก้าวสำคัญที่จะเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมการพิมพ์ 3D และคิดว่าไม่ช้าเราจะเป็นผู้นำในด้านการพิมพ์แบบ 3D ด้วยการทำงานอย่างขยันขันแข็งของนักวิจัยและพัฒนาของเราใน Siemens
โรงงานดังกล่าวจะมีตำแหน่งวิศวะกรเปิดรับถึง 55 ตำแหน่ง เมื่อโรงงานเปิดทำการ มีกำหนดจะเปิดในเดือนกันยายน เมื่ออาคารใหม่เสร็จสิ้น Siemens มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนเครื่องพิมพ์ 3D ที่ใช้ขึ้นแบบโลหะในประเทศอังกฤษจาก 15 ตัว เป็น 50 ตัวในอีก 5 ปีข้างหน้า ผู้บริหาร Materials Solutions กล่าวว่า “เขาเชื่อโรงงานแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท มีพื้นที่และขอบเขตที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมชิ้นสำคัญๆ สำหรับโครงงานยักษ์ใหญ่ในอนาคตของบริษัท หรือส่งชิ้นส่วนไปยังลูกค้าที่ต้องการสิ้นค้าระดับอุตสาหกรรม ที่ผ่านการผลิตจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ”
ล่าสุดโรงงานได้เปิดทำการและมีเป้าหมายหลักปัจจุบันคือการผลิตชิ้นส่วนกังหันลม โดยเฉพาะชิ้นส่วนใบพัด และชิ้นส่วนที่ใช้ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลก ถือเป็นบริษัทที่มีความกล้าที่จะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่นำมาใช้จริงจังครั้งแรกในระดับอุตสหกรรม และเป็นก้าวที่ประสบความสำเร็จอย่างมากที่สุดของพวกเขาเลยทีเดียว